วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2561

       


             การทำขนมไทยในเมนูขนมกลีบลำดวน    เป็นขนมที่นิยมรับประทานกันขนมกลีบลำดวนมีลักษณะคล้ายดอกลำดวนรสชาติก็จะหวานหอมน่ารับประทานมาก
                 

            ประวัติของขนมกลีบลำดวน

       
ขนมกลีบลำดวน วันนี้จะมาเชิญชวนทำขนมไทยกินกัน เชื่อว่าหลายๆท่านคงเคยได้ยินชื่อและรู้จักกันดีกับชื่อขนมไทยชนิดนี้"ขนมกลีบลำดวน" บ้างก็ว่า "ขนมดอกลำดวน" สมัยก่อนหากมีงานมงคลสมรส มักจะใช้ขนมชนิดนี้นำมาประกอบพิธีร่วมกับขนมชนิดอื่นๆ ที่เป็นขนมมงคลเนื่องด้วยคนโบร่ำโบราณ มีความเชื่อกันว่า "ขนมกลีบลำดวน"         มีความหมายที่ดี ช่วยทำให้ชื่อเสียงขจรขจายไปไกล และยังมีความหมาย สร้างความงดงามให้กับชีวิตคู่อาจจะเป็นด้วยลักษณ์ของขนมกลีบลำดวน ที่มีกลีบดอกสามกลีบนำมาประสานติดกัน ปั้นเกสรวางไว้ตรงกลางทำให้ขนมแลดูงดงามเหมือนดั่งดอกลำดวนดอกลำดวนนั้นเป็นดอกไม้ที่มีเสน่ห์ยามค่ำคืน จะส่งกลิ่นหอมอบอวล ถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
    


                               
ขนมกลีบลำดวน


ส่วนผสม
  • แป้งสาลีอเนกประสงค์ (ร่อน) 2 ถ้วย
  • น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วย
  • ไข่ขาว 1 ฟอง
  • น้ำมันรำข้าว 1/2 ถ้วย
วิธีทำ
  1. ผสมแป้งสาลีอเนกประสงค์ที่ร่อนไว้แล้วลงไปผสมกับน้ำตาลทรายและไข่ขาว แล้วใส่น้ำมันรำข้าวเล็กน้อย
  2. นวดแป้งให้นวลเข้ากันดี จากนั้นหยิบแป้งขึ้นเล็กน้อยแล้วปั้นแป้งเป็นก้อนกลมๆ
  3. นำแป้งมาตัดแบ่งเป็น 4 ส่วน หยิบส่วนที่ 4 ออกไปให้เหลือแค่ 3
  4. นำแป้ง 3 ชิ้นมาต่อกันให้เป็นกลีบลำดวน โดยให้ไข่ขาวเป็นกาวเชื่อมต่อกัน จากนั้นก็นำเป็นส่วนที่เหลือแบ่งออกมาเล็กน้อย ปั้นให้เป็นก้อนกลมๆ สำหรับวางตรงกลาง
  5. วอร์มเตาอบไว้ที่ 120 องศา เป็นเวลา 10 นาที เสร็จแล้วนำขนมเข้าไปอบเป็นเวลา 15 นาที
  6. เมื่ออบขนมเสร็จแล้ว นำออกมาอบควันเทียนอีกรอบ เพื่อให้ขนมมีกลิ่นหอม ใช้เวลาอบ 30 นาที
  7. เสร็จแล้วก็เรียงใส่จานเสิร์ฟ หรือใส่กล่องเล็กๆ น่ารักเอาไว้เป็นของฝากก็ได้ค่ะ







วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2561



   
การทำขนมไทยในเมนูขนมกล้วย  ขนมกล้วยเป็นขนมไทยโบราณอีกอย่างหนึ่งที่ทำง่ายๆวัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ไม่มีต้องมากมายก็สามารถทำรับประทานเองได้เริ่มจากกล้วยที่เหลือจากรับประทานไม่หมด สุกงอมบางคนนั้นไม่ชอบกล้วยที่สุกงอมเกินไปจึงจับมาแปรรูปให้เป็นขนมขนมกล้วยนึ่งโรยหน้าด้วยมะพร้าว ก็อร่อยได้

ประวัติของขนมกล้วย
ขนมกล้วย หรือเข้าหนมกล้วย เป็นขนมซึ่งชาวล้านนานิยมทำรับประทาน โดยใช้แป้งข้าวเจ้าและกล้วยน้ำว้าเป็นส่วนผสมหลัก


                             ขนมกล้วย





 ส่วนผสม
  • กล้วยน้ำว้า 10 ใบ บดละเอียด
  • แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง
  • แป้งมัน 1/4 ถ้วยตวง
  • น้ำตาล 1 1/4 ถ้วยตวง
  • เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
  • หัวกะทิ 1/2 ถ้วยตวง
  • เนื้อมะพร้าวขูด 2 ถ้วยตวง


 วิธีทำ
  1. นำส่วนผสมทุกอย่างใส่ลงไปในชามผสม เหลือเนื้อมะพร้าวไว้ 1/4 เอาไว้โรยหน้าในตอนท้าย นวดส่วนผสมทั้งด้วยมือจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว
  2. ตักส่วนผสมลงไปในภาชนะที่เตรียมไว้ แต่จะให้ดีใช้กระทงใบตองดีกว่า เพื่อเพิ่มความหอมคงคอนเซปต์ของขนมไทย เสร็จนำมะพร้าวขูดที่เหลือโรยหน้าขนม
  3. นำไปนึ่ง 30 นาที หรือนำไปอบก็ได้เช่นกัน ใช้ความร้อนประมาณ 180 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 30 นาที
  4. เสร็จยกลงหม้อนึ่งจัดจานเสิร์ฟได้เลยค่ะ ขนมกล้วยนี้จะทานตอนร้อนหรือตอนเย็นก็ได้อร่อยเหมือนกัน




                                                    ลิงก์:https://www.youtube.com/watch?v=AtZAg61SGDM

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2561



         การทำขนมไทยในเมนูทับทิมกรอบน้ำกะทิ    เป็นขนมหวานแบบไทย ทับทิมกรอบเป็นขนมหวานที่รับประทานได้ทุกฤดูกาล นิยมมากที่สุดในฤดูร้อน รับประทานแล้วหอมหวานเย็นอร่อยชื่นใจคลายร้อนได้ดี ประกอบด้วยเม็ดทับทิมกรอบสีแดงสดใสและเม็ดทับทิมกรอบสีชมพูสวย เมื่อเคี้ยวแล้วกรอบมันด้วยรสชาติของแห้ว มีน้ำเชื่อมที่ทำจากน้ำตาลทราย ลอยด้วยดอกมะลิมีกะทิสดจากการคั้นมะพร้าว น้ำแข็งบดละเอียดหรือน้ำแข็งทุบให้เป็นเม็ดเล็ก ๆ รสชาติหอมชื่นใจ

  ประวัติของท้บทิบกรอบน้ำกะทิ
หลายท่านคงติดใจขนมหวานชนิดนี้ที่มีสีสันสวยงามกินแล้วชื่นใจคลายร้อน กินกับน้ำแข็งยิ่งชื่นใจ ขนมไทยแท้ๆของไทยจริงๆประกอบขึ้นจากแป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวเหนียว น้ำตาลมะพร้าว และน้ำกะทิ หลักๆมีแค่นี้ มีรสหวาน จากน้ำตาลมะพร้าวหรือน้ำตาลโตนด รสมันจากกะทิและเนื้อมะพร้าว ตัดเค็มด้วยเกลือนิดหน่อย ดูจะมีแค่นี้ที่เป็นขนมไทยแท้ๆ ขนมหน้าตาประหลาดรสชาติแปลกลิ้น มีเข้ามาในช่วงหลังๆ อย่างเช่นสมัยพระนารายณ์ขนมตระกูลทองทั้งหลายทั้งปวงที่ปรุงขึ้นจากไข่แดงนำมาต้มในน้ำเชื่อม ในสมัยนั้นถือว่าเป็นของแปลกประหลาดมาก เพราะไข่คนไทยไม่นิยมมาทำของหวาน ยิ่งไข่แดงด้วยแล้วยิ่งแลจะเป็นไปได้ยาก เพราะมีกลิ่นคาว แต่ท้าวทองกีบม้าก็คิดค้นรังสรรค์จนได้ตกทอดมาเป็นขนมกึ่งๆลูกครึ่ง คนไทยมิได้ลอกเรียนแบบใครหากเรารับเอามาปรับให้เป็นในแบบเรา ใส่รสชาติของเราลงไปใส่ความละเมียดในแบบที่เรามี ความวิจิตรที่แทรกไว้คนไทยเป็นที่หนึ่งที่ชาติใดไม่มี บางท่านชอบบ่นว่าแล้วขนมไทยแท้ๆเรามีอะไรบ้าง มีเยอะมากมายหลากหลาย ขนมบางอย่างเราได้แบบอย่างจากชาติอื่น ย้ำว่าเรานำมาแปลงใหม่ให้เป็นแบบชาติเราเอง ปรับรสให้ถูกลิ้นชาติไทย แลแล้วจะรสดีกว่าของเดิมมากหลายเท่า ถึงย้ำว่าความสำคัญของที่มาขนมมิได้สำคัญเท่า รสชาติในความเป็นไทยที่บรรพบุรุษคิดและดัดแปลงไว้ให้ต่างหากสำคัญกว่า ถ้ามานั่งคิดว่าขนมชนิดนั้นเรารับจากชาติอื่นมาอีกที พูดกันอีกสิบโกฏปีก็ไม่จบ
                                            ทับทิบกรอบน้ำกะทิ




  1. วัตถุดิบ ทับทิมกรอบ 

    ส่วนทำเม็ดทับทิิม

    1. แห้วดิบ 400กรัม
    2. แป้งมันฝรั่ง 1ถ้วยตวง(ใช้แป้งมันสัมปะหลังได้)
    3. สีผสมอาหารสีชมพู สีฟ้า

    ส่วนผสมน้ำเชื่อม

    1. น้ำตาลทราย 2ถ้วยตวง
    2. น้ำลอยดอกมะลิ 1ถ้วยตวง
    3. ใบเตยมัด 6ใบ
    4. ขนุนฉีกตามใจชอบ

    ส่วนผสมกะทิราด

    1. หัวกะทิ 1 1/2ถ้วยตวง
    2. เกลือประมาณ 1ช้อนกาแฟ

    วิธีทำทับทิมกรอบ

    1.ทำน้ำเชื่อม นำน้ำลอยดอกมะลิตั้งไฟให้เดือด ใส่ใบเตยและน้ำตาลทรายลงไป ต้มจนใบเตยเริ่มส่งกลิ่นหอมและน้ำเชื่อมเริ่มเหนียวขึ้นก็ใช้ได้ ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วนำขนุนฉีกลงไปลอย ส่วนกะทิสำหรับราดใช้กะทิสดนะคับ จะหอมอร่อยกว่ากะทิกล่อง นำมาผสมเกลือลงไป คนให้เกลือละลายแล้วนำไปแช่ตู้เย็น
    2.นำแห้วล้างให้สะอาด ปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นชิ้นขนาดตามใจชอบ ลูกใหญ่หั่น9ชิ้น ลูกเล็กหั่น4ชิ้นคับ ล้างน้ำให้สะอาดอีกรอบ นำไปใส่ตระแกรงตาห่างผึ่งลมทิ้งไว้ให้แห้งขึ้นหรือ ให้ชื้นน้อยที่สุดเพราะเวลาเราย้อมสี สีจะได้ติดง่ายๆ
    3.แบ่งแห้วเป็นสองส่วนเท่าๆกัน ย้อมสีชมพูและสีฟ้า โดยผสมสีผสมอาหารแบบน้ำกับน้ำเปล่าให้เจือจาง ความเข้มขึ้นอยู่กับเราว่าจะเอาเข้มมากเข้มน้อยนะคับ จากนั้นค่อยๆตักสีใส่แห้วทีนิด คลุกให้สีติดทั่วก็ใช้ได้
    4. ร่อนแป้ง1ครั้ง แล้วตักลงไปคลุกกับแห้วละนิด ทำไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าแป้งเริ่มจะไม่ติดกับเม็ดแห้วก็ใช้ได้ ทิ้งไว้สักพักให้แป้งเกาะตัวกันดีแล้วค่อยนำมาร่อนแป้งส่วนเกินออก นำขนมไปต้มในน้ำเดือดจัด คนเบาไม่ให้ขนมติดก้นหม้อ พอขนมสุกดีแป้งใสขึ้น สังเกตุดูขนมจะลอยขึ้นมา ต้มต่อสักพักก็ใช้ได้ ตักมาใส่น้ำเย็นจัดแช่น้ำแข็งให้ขนมคลายความร้อน กันขนมติดกัน
    5. ตักขนมใส่ถ้วย ตามด้วยน้ำเชื่อมลอยขนุน ความหวานกะเอาเองตามใจชอบนะคับ ราดด้วยกะทิสดใส่น้ำแข็งปิดท้าย ทานตอนเย็นๆ ชื่นใจมากๆ







  1.                               ลิงก์:https://www.youtube.com/watch?v=Qwc83RODeYs           












       การทำขนมไทยในเมนูขนมตาล   เป็นขนมไทยดังเดิม เนื้อขนมมีลักษณะเป็นแป้งสีเหลือง เข้ม นุ่ม ฟู มีกลิ่นตามหอมหวาน ขนมตาลทำมาจากผลตาลที่สุกงอม แป้งข้าว
จ้าว กระทิ และน้ำตาล ผสมกันตามกรรมวิธี ใส่กระทงใบตอง โรยมะพร้าวขูด และนำไปนึ่งจนสุก

ประวัติของขนมตาล
ขนมตาล เป็นขนมไทยดั้งเดิม เนื้อขนมมีลักษณะเป็นแป้งสีเหลืองเข้ม นุ่ม ฟู มีกลิ่นตาลหอมหวาน ขนมตาลทำจากเนื้อตาลจากผลตาลที่สุกงอม แป้งข้าวเจ้า กะทิ และน้ำตาล ผสมกันตามกรรมวิธี ใส่กระทงใบตอง โรยมะพร้าวขูด และนำไปนึ่งจนสุก เนื้อลูกตาลยีที่เป็นส่วนผสมในการทำขนมตาล ได้จากการนำผลตาลที่สุกจนเหลืองดำ เนื้อข้างในมีสีเหลือง มีกลิ่นแรง ซึ่งส่วนมากจะหล่นจากต้นเอง มาปอกเปลือกออก นำมายีกับน้ำสะอาดให้หมดสีเหลือง นำน้ำที่ยีแล้วใส่ถุงผ้า ผูกไว้ให้น้ำตกเหลือแต่เนื้อลูกตาล
ในปัจจุบัน หาทานขนมตาลรสชาติดีได้ยาก เนื่องจากปริมาณการปลูกต้นตาลที่ลดลง ขนมตาลที่ขายตามท้องตลาดส่วนใหญ่ ผู้ประกอบการมักใส่เนื้อตาลน้อย เพิ่มแป้งและเจือสีเหลืองแทน ซึ่งทำให้ขนมตาลมีเนื้อกระด้าง ไม่หอมหวาน และไม่อร่อย



                                          ขนมตาล
                     

                                                 ที่มา;https://cookpad.com/th/recipes/5355899-%

  



ส่วนผสม (สำหรับ 200 ถ้วยตะไลเล็ก) เตรียม 30 นาที ปรุง 1 ชั่วโมง 30 นาที
  • เนื้อลูกตาลสุก 350 กรัม
  • แป้งข้าวเจ้า 500 กรัม
  • กะทิ 3 ถ้วย
  • น้ำตาลทราย 400 กรัม
  • ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ
  • มะพร้าวทึนทึกขูดเส้นเล็ก
  • คลุกเกลือเล็กน้อย
  • สำหรับโรยหน้า 2 ถ้วย

วิธีทำ
1. ละลายน้ำตาลในกะทิ เติมเนื้อตาลลงไปคนให้เข้ากัน จากนั้นใส่แป้งและผงฟูลงไปคนให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกันจนเนียน
2. กรองส่วนผสมด้วยผ้าขาวบาง พักไว้ประมาณ 10 นาทีให้ส่วนผสมขึ้น
3. ระหว่างรอขนมขึ้น ใส่น้ำในลังถึง ตั้งไฟกลางเตรียมไว้ เรียงถ้วยตะไลลงในลังถึงพอส่วนผสมครบเวลา ตักส่วนผสมยอดลงในถ้วยตะไลจนเต็มถ้วย โรยด้วยมะพร้าวทึนทึก นึ่งบนน้ำเดือดประมาณ 15 – 20 นาที จนกระทั่งสุก ยกลงจากเตา พักให้เย็นแซะออกจากถ้วย พร้อมเสิร์ฟ


  1.                                 
  2.                                                                                                                   ลิงก์:https://www.youtube.com/watch?v=fH0dQssCGpA



        การทำขนมไทยในเมนูตะโก้สาคูเผือก   เป็นขนมไทยที่มีหลายไส้ ไม่ว่าจะเป็นไส้เผือก ข้าวโพด แห้ว หรือจะเป็นไส้อะไรก็ได้ ขอแค่ให้เคี้ยวได้หนึบๆ อร่อยควบคู่ไปกับเม็ดสาคู เราจะมาดูการทำตะโก้เผือกสาคูกินง่ายๆ หวานมันเค็ม

ประวัติของตะโก้สาคูเผือก
ตะโก้  เป็นขนมที่มีส่วนผสม คือแป้งกะทิและน้ำตาลทรายเป็นหลัก ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ตัวขนมเป็นแป้งและน้ำตาล และส่วนหน้าขนมเป็นกะทิ แป้งและเกลือส่วนผสมของตัวขนมสามารถผสมวัตถุดิบ อื่นเพื่อให้เกิดรสชาติที่หลากหลาย เช่น แห้วข้าวโพด เผือกหรือจะเพิ่มสีเขียวของใบเตย และมีชื่อเรียกตาม วัตถุดิบที่ผสมลงไป เช่น ตะโก้แห้ว ตะโก้เผือก เป็นต้น
         ทุกวันนี้มีขนมหลากหลายชนิดให้เลือกทานได้ไม่รู้เบื่อ แต่ที่ใกล้ตัวอย่าง “ขนมไทย” นับวันจะถูกขนมชาติอื่นมาช่วงชิงความนิยม ซึ่งขนมไทยแท้นั้นจะมีส่วนผสมของแป้ง น้ำตาล และกะทิเป็นหลัก อย่างไรก็ดี วันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลขนมไทยโบราณ ที่อร่อย และครองความนิยมไม่กลัวเกรงขนมชาติอื่น อย่าง ตะโก้เผือก” 



                                           
                     การทำตะโก้สาคูเผือก
   


ส่วนผสม

  • น้ำเปล่า 3 3/4 ถ้วย
  • สาคู 1 ถ้วย
  • น้ำตาล 1 1/2 ถ้วย
  • เผือก 1 ถ้วย
  • กะทิ 4 ถ้วย
  • น้ำตาล 1/3 ถ้วย
  • เกลือ 1 1/2 ช้อนชา
  • แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วย

วิธีทำ
  1. ตั้งน้ำเปิดไฟแล้วใส่เม็ดสาคูลงไปกวนจนเม็ดสาคูสุกและเม็ดใส
  2. ใส่น้ำตาลทราย คนจนน้ำตาลละลาย ใส่เผือกหั่นเต๋าลงไป กวนจนทุกอย่างเข้ากันแล้วตักใส่ชามพักไว้
  3. ต้มน้ำกะทิด้วยไฟอ่อน ใส่น้ำตาล เกลือ และแป้งข้าวเจ้าลงไป
  4. กวนให้ทุกอย่างเข้ากัน จากนั้นก็นำไปราดลงบนสาคูเผือก



       ลิงก์:https://www.youtube.com/watchv=tQiW13JHoOo





        การทำขนมไทยในเมนูฝอยทอง  เป็นขนมไทยชนิดหนึ่งที่คนไทยนิยมรับประทาน ลักษณะเป็นเส้นฝอยๆสีทอง ทำมาจากไข่แดงของไข่เป็ด ต้มในน้ำเดือดและก็น้ำตาลสามารถนำไปรับประทานกับขนมปังก็อร่อยได้และฝอยทองเป็นขนมหวานที่มีอยู่ในเฉพาะตัว

ประวัติของฝอยทอง
ขนมไทยอีกชนิดหนึ่งที่มีประวัติอันยาวนาน เกิดขึ้นในรัชสมัย
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีชาวโปรตุเกสนำสูตรขนมฝอยทองมาเผยแพร่
ให้แก่คนไทย ซึ่งตามปกติขนมไทยแท้ๆจะไม่เอาไข่เป็นส่วนผสมในการทำ
ขนมกันนัก ส่วนใหญ่จะเป็น แป้ง กะทิ น้ำตาล มะพร้าวมากกว่าอย่างอื่น
เมื่อชาวโปรตุเกสเข้ามาค้าขายกับคนไทยในยุคนั้นก็จะพาแม่บ้านมาด้วย
เลยได้สอนการทำฝอยทองให้แก่คนไทยจนเป็นที่ถูกอกถูกใจทำกินจนถึงปัจจุบัน
ฝอยทอง (โปรตุเกส: fios de ovos)  เป็นขนมโปรตุเกส ลักษณะเป็นเส้นฝอยๆ สีทอง ทำจากไข่แดงของไข่เป็ด เคี่ยวในน้ำเดือดและน้ำตาลทราย ชาวโปรตุเกสใช้รับประทานกับขนมปัง กับอาหารมื้อหลักจำพวกเนื้อสัตว์ และใช้รับประทานกับขนมเค้ก  โดยมีกำเนิดจากเมืองอาไวโร่ (โปรตุเกส: Aveiro) เมืองชายฝั่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศโปรตุเกส

                          
                      การทำฝอยทอง


                                          ที่มา:http://kanomthaitomu.lnwshop.com




  1.          ส่วนผสม
  2.        ◆ ​ไข่เป็ด 6 ฟอง
    ​​      ​​◆ ​ไข่ไก่ 3 ฟอง
    ​​      ​​◆ ​น้ำตาลทรายขาว 1 กิโลกรัม
    ​​      ​​◆ ​น้ำลอยดอกมะลิ 1,000 มิลลิลิตร (หรือน้ำผสมกลิ่นมะลิ) 
    ​​      ​​◆ ​ใบเตย (มัดรวมกัน) 4 ใบ

              อุปกรณ์
          ​​◆ ​กระทะทองเหลือง
    ​​      ​​◆ ​กรวยใบตองหรือกรวยโลหะ
    ​​      ​​◆ ​ไม้แหลม ยาวประมาณ 1 ฟุต
    ​​      ​​◆ ​ตะแกรง
    ​​      ​​◆ ​ถาดรองน้ำเชื่อม

    วิธีทำ
     1. แยกไข่แดงกับไข่ขาวออกจากกันและรีดไข่น้ำค้าง (ไข่ขาวที่เป็นน้ำใส ๆ เหมือนน้ำค้างติดอยู่ภายในเปลือกไข่) ลงไปในไข่แดง (ไข่น้ำค้างทำให้เส้นฝอยทองเหนียวนุ่ม ไม่ขาดง่าย) ตีผสมไข่แดงให้พอเป็นเนื้อเดียวกัน (ไม่ต้องตีให้ขึ้นฟู เพราะจะทำให้เส้นขาดเวลาโรยลงในกระทะ) จากนั้นนำไปกรองในผ้าขาวบาง เตรียมไว้
     2. ทำน้ำเชื่อมโดยใส่น้ำลอยดอกมะลิ น้ำตาลทราย และใบเตยลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟกลางรอจนน้ำตาลละลาย จากนั้นนำไปกรองแล้วเทใส่ลงกระทะทองเหลือง เคี่ยวด้วยไฟอ่อนอีกครั้งจเป็นเหนียวข้น 
    3. ตักส่วนผสมไข่แดงลงในกรวยแล้วค่อย ๆ โรยไข่แดงลงไปในน้ำเชื่อมที่เดือด (ใช้ไฟกลาง) วนให้รอบกระทะทองเหลืองประมาณ 20-30 รอบต่อชิ้น จากนั้นยกกรวยขึ้น 
     4. พอไข่แดงสุกให้ใช้ไม้ปลายแหลมพับครึ่งเส้นฝอยทองแล้วเอามาพักบนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำเชื่อม 



  3.                                      ลิงก์:https://www.youtube.com/watch?v=Ze_wM9oziV4&vl=th




        การทำขนมไทยในเมนูครองแครงกะทิสดเป็น ขนมทำด้วยแป้งกดบนพิมพ์ให้เป็นรูปคล้ายฝาหอยแครงต้มกับกะทิ เวลากินโรยน้ำตาล และงา ถ้าทอดแล้วคลุกน้ำตาลเคี่ยวเรียก ครองแครงกรอบ.เรามาดูวิธีทำครองแครงกะทิสดกัน

ประวัติของครองแครงกะทิสด
สมัยสุโขทัยขนมไทยมีที่มาคู่กับชนชาติไทย จากประวัติศาสตร์ที่ติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ คือ 
จีนและอินเดียในสมัยสุโขทัย มีส่วนช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ด้านอาหารการกินร่วมไปด้วย
สมัยอยุธยา เริ่มมีการเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับต่างประเทศทั้งชาติตะวันออกและตะวันตก ไทยเรายิ่งรับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่างๆ มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นอยู่ เครื่องมือเครื่องใช้ วัตถุดิบที่หาได้ ตลอดจนนิสัยการบริโภคของคนไทยเอง จนบางทีคนรุ่นหลังแทบจะแยกไม่ออกเลยว่า อะไรคือขนมไทยแท้ๆ อะไรที่เรายืมเค้ามา เช่น ทองหยิบ ทองหยอดและฝอยทอง
หลายท่านอาจคิดว่าเป็นของไทยแท้ๆ แต่ความจริงแล้วมีต้นกำเนิดจากประเทศโปรตุเกส โดย "มารี กีมาร์" หรือ "ท้าวทองกีบม้า" "ท้าวทองกีบม้า"หรือ "มารี กีมาร์" เกิดเมื่อ พ.ศ. 2201 หรือ พ.ศ. 2202 แต่บางแห่งก็ว่า พ.ศ. 2209 โดยยึดหลักจากการแต่งงานของเธอที่มีขึ้นในปี พ.ศ. 2225 และขณะนั้น มารี กีมาร์ มีอายุเพียง 16 ปี บิดาชื่อ "ฟานิก (Phanick)" เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นผสมแขกเบงกอล ผู้เคร่งศาสนา ส่วนมารดาชื่อ "อุรสุลา ยามาดา (Ursula Yamada)" ซึ่งมีเชื่อสายญี่ปุ่นผสมโปรตุเกส ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในอยุธยา ภายหลังจากพวกซามูไรชุดแรกจะเข้ามาเป็นทหารอาสา ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไม่นานนัก ชีวิตช่วงหนึ่งของ "ท้าวทองกีบม้า" ได้เข้าไปรับราชการในพระราชวังตำแหน่ง "หัวหน้าห้องเครื่องต้น" ดูแลเครื่องเงินเครื่องทองของหลวง เป็นหัวหน้าเก็บพระภูษาฉลองพระองค์ และเก็บผลไม้ของเสวย มีพนักงานอยู่ใต้บังคับบัญชาเป็นหญิงล้วน จำนวน 2,000 คน ซึ่งเธอก็ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ชื่นชม ยกย่อง มีเงินคืนทองพระคลังปีละมากๆ ระหว่างที่รับราชการนี่เอง มารี กีมาร์ ได้สอนการทำขนมหวานจำพวก ทองหยอด ทองหยิบ ฝอยทอง ทองพลุ ทองโปร่ง ขนมผิงและอื่นๆ ให้แก่ผู้ทำงานอยู่กับเธอและสาวๆ เหล่านั้น ได้นำมาถ่ายทอดต่อมายังแต่ละครอบครัวกระจายไปในหมู่คนไทยมาจนปัจจุบันนี้ ถึงแม้ว่า "มารี กีมาร์" หรือ "ท้าวทองกีบม้า" จะมีชาติกำเนิดเป็นชาวต่างชาติ แต่เธอก็เกิด เติบโต มีชีวิตอยูในเมืองไทยจวบจนหมดสิ้นอายุขัย นอกจากนั้น ยังได้ทิ้งสิ่งที่เธอค้นคิดให้เป็นมรดกตกทอดมาสู่คนรุ่นหลัง ได้กล่าวขวัญถึงด้วยความภาคภูมิ "ท้าวทองกีบม้า เจ้าตำรับอาหารไทย"
                       
                         ครองแครงกะทิสด






ส่วนผสม

  1. ครองแครงสำเร็จรูป 200 กรัม
  2. น้ำกะทิ 500 มิลลิลิตร
  3. เกลือป่น 2 ช้อนชา
  4. น้ำตาลทรายขาว 2 ทัพพี
  5. ใบเตย 5 ใบ
  6. น้ำเปล่า 500 มิลลิลิตร

วิธีทำ

  1.   1.ตั้งน้ำรอจนเดือดแล้วนำครองแครงสำเร็จรูปลงไปต้มจนตัวครองแครงลอยขึ้นมาแล้วตักพักไว้ในน้ำเย็น                                                                                                           
  2.   2.เตรียมน้ำกะทิโดยนำกะทิตั้งไฟอ่อนๆ ใส่น้ำตาลทรายขาว เกลือ และใบเตย คนจนกะทิเดือดเล็กน้อยก็พร้อมเสริฟ



                                       ลิงก์:https://www.youtube.com/watch?v=ivd2ZnlNuZY