วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2561



           การทำขนมไทยในเมนูขนมถ้วยไส้เค็ม     เป็นขนมที่แปรมาจากขนมถ้วยแล้วนำมาใส่ไส้เค็มเพื่อให้ได้ขนมชิ้นใหม่ขึ้นมา   สามารถทำขายหรือทำไว้กินเองก็ได้รสชาติก็จะอร่อยไม่แตกต่างจากขนมไทยชิ้นอื่นๆ


                                               ขนมถ้วยไส้เค็ม




ส่วนผสมแป้ง
แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
แป้งมัน 1+1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า 1+1/2 ถ้วย

** ทำได้ 25 ถ้วยค่ะ **


ส่วนผสมไส้เค็ม
เห็ดฟางหั่นชิ้นเล็ก 100 กรัม (ใช้เห็ดหอมสดแทน)
น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
เต้าหู้ขาวแข็งหั่นชิ้นเล็ก 1/2 ถ้วย (ใช้เนื้อสัตว์แทน)
กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
หัวไชโป๊หวานสับ 1/4 ถ้วย
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทรายไม่ฟอกขาว 1 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยเล็กน้อย (เพิ่มจากสูตร)
พริกชี้ฟ้าแดงหั่นเส้นและใบผักชีสำหรับตกแหน่ง


พริกดอง
(พริกชี้ฟ้าแดงไม่เอาเมล็ด ปั่นกับน้ำส้มสายชูและน้ำตาล ชิมรสตามชอบ)





วิธีทำ
1.ตั้งกระทะน้ำมัน 1 ช้อนโต๊ะ ใส่เห็ดลงไปคั่วด้วยไฟอ่่อนจนสุกหอม ตักใส่ถ้วยพักไว้
ใส่น้ำมันที่่่เหลือ ใส่กระเทียมสับลงเจียวให้เหลืองหอม ใส่เนื้อสัตว์ลงผัดให้สุก
ใส่หัวไชโป๊สับ และเห็ดที่คั่วไว้ ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว น้ำตาลทรายและพริกไทย   ตักใส่ถ้วยพักไว้
(ปล.ถ้าใช้หัวไชโป๊เค็ม ต้องลดซีอิ๊วลงด้วยนะคะ)
2.ทำตัวขนมถ้วย โดยผสมแป้งทั้งสองชนิดเข้าด้วยกันในอ่างผสม ใส่น้ำลงนวดทีละน้อย
แล้วจึงใส่น้ำที่เหลือทั้งหมดคนให้เข้ากัน ไม่จำเป็นต้องพักแป้งนะคะ
เพราะเทคนิคอยู่ที่การนวด แป้งที่ได้จะเหนียวนุ่มค่ะ
3.แบ่งผสมสีตามชอบ    จากนั้นนำถ้วยตะไลใส่ชั้นลังถึง และนำไปนึ่งบนหม้อน้ำเดือดด้วยไฟแรงจนร้อนจัด
ตักแป้งหยอดลงถ้วยตะไล นึ่งนาน 20 นาที พอสุกยกลงพักให้เย็นแคะออกจากถ้วย
4.วิธีการนึ่งเหมือนกับการทำขนมน้ำดอกไม้ค่ะ  อย่าลืมว่าต้องนึ่งถ้วยให้ร้อนจัดก่อน
เมื่อใส่แป้งในถ้วยแล้วต้องนึ่งด้วยน้ำเดือดไฟแรง  ขนมจะบุ๋มเป็นรูเองค่ะ
5.ตักไส้เค็มวางตรงกลางขนมถ้วย ตกแต่งด้วยพริกชี้ฟ้าแดงและผักชี เสิร์ฟกับพริกดอง













               การทำขนมไทยในเมนูกล้วยปิ้ง    เป็นขนมไทยอีกเมนูหนึ่งก็เป็นที่นิยมชอบกินในปัจจุบัน
ก็ชอบหาซื้อกินในตลาดกัน  การทำก็ไม่ยาก  สารมารถนำกล้วยมาแปรรูปได้หลายอย่างมาก  รสชาติของกล้วยปิ้งก็จะหอม  อร่อยมากๆ


                                                        กล้วยปิ้ง






ส่วนผสม
* กล้วยน้ำว้าสุกแบบห่าม 1 หวี
* หัวกะทิ 1 ถ้วย
* น้ำตาลมะพร้าว 1/2 ถ้วย
* เกลือป่น 1 ช้อนชา
* เนื้อมะพร้าวอ่อน 1/2 ถ้วย
วิธีทำกล้วยปิ้ง
ปอกกล้วยน้ำว้าสุกแบบห่ามปิ้งบนเตาถ่าน ใช้ไฟอ่อน กล้วยสุกนำมาทุบให้แบน
วิธีทำน้ำราด
นำน้ำตาลมะพร้าวกับหัวกะทิตั้งไฟ เคี่ยวจนน้ำตาลเป็นสีน้ำตาลอ่อนพอเหนียวใส่เนื้อมะพร้าวอ่อน เคี่ยวต่อจนมะพร้าวสุกเติมเกลือป่นเพื่อตัดรส นำกล้วยปิ้งวางเรียงบนจานราดด้วยน้ำกะทิ พร้อมทาน





              การทำขนมไทยในเมนูขนมถั่วแปบ    เป็นขนมไทยอีกเมนูที่ทำจากแป้งและก็มีส่วนผสมของถั่วเหลืองที่เป็นส่วนประกอบหลักของขนมชิ้นนี้  ถ้าได้กินแล้วจะติดใจ  ส่วนรสชาติก็จะอร่อย  หวานเหนียวนุ่ม

ประวัติของขนมถั่วแปบ
    สมัยก่อนมีชาวบ้านทำขนมไทยขาย แล้วไปๆ มาๆ ขนมที่ใช้ถั่วทำ กลับขายดีมาก ลูกค้าต่างรอคิวกันยาวเหยียด ด้วยความที่เข็มขัดสั้นของแม่ค้า (คาดไม่ถึง) ทำให้จำนวนถั่วที่เตรียมมาไม่พอ 
แต่พอหันไปมองหน้าลูกค้าแต่ละคนที่ต่อคิวรอมาตั้งนาน ก็ไม่อยากให้ผิดหวัง แม่ค้าเลยใช้สามีให้ไปซื้อถั่วมาเพิ่ม ส่วนตัวแม่ค้าจะคอยรับหน้าลูกค้าเอง ด้านสามีก็กุลีกุจอขึ้นรถเทียมม้า ไป 7-11 หน้าปากซอย โดยไม่ลืมที่จะหันไปบอกลูกค้าที่กำลังรออยู่ว่า "ใครซื้อขนมถั่วรอแป๊บนะขอรับ"
แต่ไม่ว่าจะซื้อเพิ่มมาเท่าไหร่ ก็ยังไม่เคยเพียงพอต่อจำนวนของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ทำให้สามีต้องไปซื้อถั่วเพิ่มวันละหลายรอบ จากที่เคยพูดว่า "ใครซื้อขนมถั่วรอแป๊บนะขอรับ" สามีแม่ค้าค่อยๆ ตัดคำทีละน้อยเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา มาเป็น "ซื้อขนมถั่วรอแป๊บ" และ "ขนมถั่วรอแป๊บ"
จนอยู่มาวันนึง เป็นช่วงสงคราม ทหารจากญี่ปุ่นเริ่มเข้ามาตั้งค่ายในไทย ระหว่างทางได้เห็นชาวบ้านยืนมุงเป็นกลุ่มก้อนอยู่หน้าบ้านหลังนึงอย่างล้นหลาม ยังความสงสัยมาให้ท่านแม่ทัพทาเคชิ ว่าพวกชาวบ้านมายืนทำอะไรกัน ท่านแม่ทัพจึงใช้ทหารหนุ่มคนสนิทนามว่า ชินเอมอนซัง เข้าไปสืบดูว่าเกิดอะไรขึ้น
ชินเอมอนซัง สืบมาได้ว่า พวกชาวบ้านกำลังต่อคิวซื้อขนมอยู่ ชินเอมอนซัง ต้องการนำขนมไปให้ท่านแม่ทัพได้ลองชิม แต่บังเอิญเป็นจังหวะที่ขนมหมดพอดี จะอยู่ที่ร้านนานก็ไม่ได้ เดี๋ยวท่านแม่ทัพจะรอ ชินเอมอนซัง จึงตัดสินใจเข้าไปถามสามีแม่ค้า ว่าขนมชื่ออะไร เดี๋ยวคราวหลังค่อยมาหาซื้อไปให้ท่านแม่ทัพชิมก็ได้
แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอื้อนเอ่ย สามีแม่ค้าก็ตะโกนสวนมาเสียก่อน ด้วยถ้อยคำที่คุ้นเคย "ขนมถั่วรอแป๊บบบ" อ้า..ชินเอมอนซัง ได้ยินดังนั้นก็รีบควบม้ากลับไปบอกท่านแม่ทัพ แต่ด้วยความที่ภาษาไทยยังไม่แข็งแรงพอ จึงรายงานท่านแม่ทัพตามความเข้าใจไปว่า "พวกเขามายืนรอซื้อ "ขนมถั่วแปป" ขอรับ"
จากนั้นเป็นต้นมา "ขนมถั่วแปป" จึงเป็นหนึ่งในขนมยอดฮิตที่ชาววัง ใช้ทำต้อนรับแขกบ้านแขกเรือน และภายหลังถึงเริ่มรู้จักกันอย่างแพร่หลายมาจนถึงกาลปัจจุบัน



                                                      ขนมถั่วแปบ
ที่มา:http://patampatan.com




ส่วนผสม
  • ถั่วเขียวเราะเปลือก (นึ่ง 15 นาที) 1/2 ถ้วย
  • มะพร้าวทึนทึก ขูดเส้น 2 ถ้วย
  • เกลือป่น 1 ช้อนชา
  • น้ำตาลทราย 3 ช้อนชา
  • แป้งข้าวเหนียว 1 ถ้วย
  • น้ำใบเตย 1/4 ถ้วย
  • น้ำตาลทราย 4 ช้อนชา สำหรับโรยหน้า
  • งาขาวและงาดำคั่ว
วิธีทำ
  1. ผสมถั่วเขียวเราะเปลือกนึ่ง มะพร้าว เกลือป่น และน้ำตาล ผสมในชามผสมแล้ววางพักไว้
  2. หันมาทำแป้งโดยใช้แป้งข้าวเหนียวผสมกับน้ำใบเตย ใส่น้ำใบเตยทีละนิด นวดให้เข้ากัน หากทำสีอื่นก็เปลี่ยนจากน้ำใบเตย เป็นน้ำฟักทอง น้ำแดง หรือน้ำอัญชัน
  3. ปั้นแป้งเป็นก้อนวงกลม แล้วกดให้แบน นำไปต้มจนแป้งสุกลอยขึ้นมาจากก้นหม้อ
  4. นำแป้งที่ต้มไปแช่ในน้ำเย็น จากนั้นก็นำมาคลุกกับถั่วแล้วจับแป้งให้เป็นก้อนเรียวๆ เหมือนในรูป
  5. ทำจนหมดแล้วนำมาเรียงใส่จาน โรยด้วยน้ำตาลทรายงาขาวและงาดำ










              การทำขนมไทยในเมนูขนมน้ำดอกไม้     เป็นขนมไทยชนิดหนึ่งที่มีการนำแม่พิมพ์รูปดอกไม้มาทำมีการใส่กลิ่นของมะลิเพื่อความหอมให้เหมือนดอกไม้   วิธีทำก็ไม่ยากสามารถทำกินเองได้   รสชาติก็จะอร่อยมากๆ


ประวัติของขนมน้ำดอกไม้
ขนมน้ำดอกไมมีอยู่ 2 ชื่อคือ 1.ขนมน้ำดอกไม้ 2.ขนมชักหน้า ขนมชัก
หน้าเป็นชื่อที่โบราณเรียกกัน เพราะเวลานึ่งเสร็จแล้วตัวขนมจะบุ๋มลงไป เหมือนกิริยาของคนโกรธแล้วชักหน้าหนีไป



                                           ขนมน้ำดอกไม้



ส่วนผสม
  • น้ำลอยดอกมะลิ 1 ถ้วย
  • น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย
  • แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
  • แป้งเท้ายายม่อม 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำเปล่า 3/4 ถ้วย
  • สีผสมอาหาร
วิธีทำ
  1. นำน้ำลอยดอกมะลิต้มกับน้ำตาลให้ละลาย จากนั้นก็ปิดไฟแล้ววางพักไว้
  2. ผสมแป้งเท้ายายม่อมกับแป้งข้าวเจ้า เติมน้ำลงไปทีละนิด นวดแป้งให้ละลาย เสร็จแล้วก็เติมน้ำลอยดอกมะลิที่ละลายน้ำตาล เทลงไปคนให้เข้ากัน
  3. แบ่งแป้งเป็น 3 ถ้วย ถ้วยละเท่าๆ กัน หยดสีผสมอาหารตามชอบแล้วคนให้ทั่ว
  4. นึ่งถ้วยตะไลทิ้งไว้ 10 นาที จากนั้นก็หยอดแป้งลงไปในถ้วย นึ่งด้วยไฟแรง 15 นาที
  5. เสร็จแล้วก็ตักขนมน้ำดอกไม้ออกมาจากถ้วย จัดเรียงไว้รอเสิร์ฟได้เลยค่ะ





                                      ลิงก์:https://www.youtube.com/watch?v=HwIxHcaE0yU







              การทำขนมไทยในเมนูขนมชั้นดอกกุหลาบ  เป็นขนมไทยที่น่ารับประทานที่แตกต่างจาก
ขนมชั้นอื่นๆคือมีลักษณะคล้ายกับดอกกุหลาบ   รสชาติอร่อยไม่พอยังมีสีสันน่ากินมากๆ  หวาน  เหนียวนุ่ม

                                                 
                                             ขนมชั้นดอกกุหลาบ




ส่วนผสม ขนมชั้นดอกกุหลาบ

      ◆ หัวกะทิ 2 ถ้วย
      ◆ น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
      ◆ แป้งท้าวยายม่อม 1/8 ถ้วย
      ◆ แป้งมันสำปะหลัง 1 ถ้วย
      ◆ แป้งข้าวเจ้า 1/4 ถ้วย
      ◆ สีผสมอาหารสีแดง
      ◆ กลิ่นมะลิ
      ◆ น้ำมันพืช



วิธีทำขนมชั้นดอกกุหลาบ





           1. ใส่กะทิลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟใส่น้ำตาลทราย คนให้เข้ากันจนละลาย ปิดไฟ พักทิ้งไว้ให้เย็น พอเย็นให้ตักช้อนเอาหัวกะทิที่อยู่ด้านบนใส่ภาชนะเก็บไว้ 
           2. ผสมแป้งท้าวยายม่อม แป้งมันสำปะหลัง และแป้งข้าวเจ้าเข้าด้วยกัน ค่อย ๆ เทหัวกะทิใส่ลงไปทีละน้อยสลับกับใช้มือนวดแป้งจนแป้งรวมตัวกันเป็นก้อนแล้วนวดต่ออีก ประมาณ 15 นาที เทน้ำกะทิที่เหลือใส่ลงไป ตามด้วยกลิ่นมะลิ คนผสมให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว นำส่วนผสมไปกรองด้วยกระชอน เตรียมไว้

            3. แบ่งส่วนผสมแป้งออกเป็น 2 ส่วน ใส่สีผสมอาหารสีแดงลงไป 1 ส่วน คนผสมสีให้เข้ากัน
            4. ทาน้ำมันพืชลงบนถาดสำหรับนึ่งขนมชั้นให้ทั่ว เตรียมไว้
            5. นำชุดนึ่งขึ้นตั้งไฟ รอจนน้ำเดือดพล่าน จากนั้นวางถาดสำหรับนึ่งขนมลงไปแล้วตักส่วนผสมแป้งสีชมพูใส่ลงไปในพิมพ์ทำเป็นชั้นที่ 1 ปิดฝานึ่งประมาณ 5-7 นาที
           6. พอชั้นที่ 1 สุกแล้วให้เปิดฝาแล้วตักส่วนผสมสีขาวใส่ลงไป ปิดฝานึ่งต่อ ทำสลับกันไปเรื่อย ๆ จนส่วนผสมแป้งหมดและเต็มพิมพ์
           7. เมื่อนึ่งเสร็จแล้วนำขนมชั้นออกมาจากชุดนึ่ง พักไว้ให้เย็นลง นำขนมชั้นออกจากพิมพ์ ผ่าแบ่งครึ่งขนมชั้นตามยาวแล้วลอกขนมแต่ละชั้นออกมาเป็นแผ่น
          8.  วิธีม้วนดอกกุหลาบ คือ ให้ม้วนแผ่นขนมชั้นเข้ามา 1 ทบ พับกลีบแรกไปข้างหลัง 45 องศา แล้วจึงพับตลบขึ้นมา ทำซ้ำเรื่อย ๆ จนหมด พร้อมเสิร์ฟ







วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2561


     
             การทำขนมไทยในเมนูขนมครองแครงกรอบ    เป็นขนมไทยที่จัดอยู่ในประเภทขนมกรุบกรอบ
สามารถทานกินเล่นยามว่างก็อร่อยได้   วิธีทำก็ไม่ยาก ส่วนรสชาติก็จะกรอบๆ หอม  หวานอร่อย

                     

                                        ขนมครองแครงกรอบ



ส่วนผสมครองแครง

แป้งเค้ก 250 กรัม
ไข่ไก่ฟองเล็ก 1 ฟอง
หัวกะทิแบบข้น 1/2 ถ้วย
พริกไทย 1+1/2 ช้อนชา
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
และน้ำมันสำหรับทอด

ส่วนผสมน้ำตาลเคลือบ

น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย
เกลือป่น 1+1/2 ช้อนชา
น้ำ 1/3 ถ้วย
รากผักชี กระเทียม พริกไทย 2 ช้อนโต๊ะ



วิธีทำ

1. ร่อนแป้ง แล้วใส่พริกไทย เคล้าผสมให้เข้ากันดี
(เราใช้พริกไทยโขลกเองจะหอมกว่าค่ะ) 
2. ตีไข่พอให้เข้ากันใส่ลงในแป้ง (ใช้ไข่ฟองเล็กเพื่อไม่ให้แป้งแฉะเกินไป)
3. ใส่หัวกะทิ แล้วนวดให้เข้ากัน
4. ใส่น้ำมัน นวดจนนุ่มไม่ติดมือ แป้งจะนุ่มแต่ไม่เหนียวนะคะ
5. จากนั้นปั้นเป็นก้อนกลมเล็ก ๆ ค่ะ (เราคลึงเป็นเส้นแล้วเอามีดตัดก่อนปั้น) 
แล้วกดพิมพ์ครองแครง ได้กลิ่นหอมของพริกไทยกับกะทิด้วยค่ะ
6. ตั้งกระทะน้ำมันให้ร้อน ในช่วงแรกเปิดไฟแรงใส่แป้งลงทอดเพื่อให้แป้งพอง 
ช่วงแรกถ้าทอดไฟอ่อนแป้งจะกระด้างนะคะ จากนั้นปรับไฟอ่อน
ทอดจนกรอบเหลืองทั้งด้านนอกด้านใน ตักขึ้นพักไว้ 
7. ทำน้ำตาลเคลือบโดยผสมทุกอย่างให้น้ำตาลละลาย ตั้งไฟปานกลางค่อนข้างแรง 
ต้องคนตลอด เคี่ยวให้เหนียวข้น โดยดูจากฟองน้ำตาลที่ละเอียดก็ให้หรี่ไฟอ่อน
ใส่แป้งที่ทอดไว้แล้วคนให้ทั่ว จนน้ำตาลที่เคลือบครองแครงแห้งก็ใช้ได้ค่ะ






                                      ลิงก์:https://www.youtube.com/watch?v=PR0mxr4foYM


             การทำขนมไทยในเมนูท้องม้วนสดมะพร้าวอ่อน    ก็จัดเป็นขนมไทยอีกแบบหนึ่งที่ทำจากมะพร้าวอ่อนและมีส่วนประกอบของแป้งรสชาติของขนมมีรสชาติที่อร่อย  เหนียวนุ่ม  น่ารับประทาน


                                     ท้องม้วนสดมะพร้าวอ่อน




ส่วนผสม

           แป้งมัน 1 ถ้วย
           แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1/4 ถ้วย
           กะทิสด 1/2 ถ้วย
           เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
           น้ำตาลมะพร้าว 1/2 ถ้วย (ใครชอบหวานเพิ่มได้นะ สูตรนี้แบบหวานน้อย)
           ไข่ไก่ 1 ฟอง
           งาดำคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ
           เนื้อมะพร้าว 1/2 ลูก
           สีผสมอาหารสีเหลืองไข่ไก่ และสีส้ม
           ดอกอัญชัญต้มกับน้ำ (สำหรับทำสีคราม)





วิธีทำ

             1. ผสมแป้งมันกับแป้งสาลีอเนกประสงค์เข้าด้วยกันในชามผสม เตรียมไว้

           2. ผสมกะทิ เกลือป่น และน้ำตาลมะพร้าว ใช้ตะกร้อมือตีผสมให้เข้ากัน จากนั้นใส่ไข่ไก่ลงไปตีให้เข้ากัน ค่อย ๆ เทใส่ลงในชามแป้งทีละน้อย คนผสมให้เข้ากันอีกครั้งให้ข้นเป็นเนื้อเดียว (แต่ไม่ต้องข้นมาก) สุดท้ายใส่งาดำคั่วลงไป พักไว้ประมาณ 30 นาที

           3. แบ่งส่วนผสมแป้งเป็น 3 ถ้วย หยดสีผสมอาหารลงไปทีละนิด คนผสมให้เข้ากันจนได้สีที่ชอบ สุดท้ายแบ่งใส่เนื้อมะพร้าวลงไปเท่า ๆ กัน เตรียมไว้

         4. นำกะทะเทฟลอนขึ้นตั้งไฟอ่อน (ใช้ไฟวงเล็กตรงกลาง) พอให้กระทะร้อนนิด ๆ แล้วตักส่วนผสมแป้งหยอดลงไป เกลี่ยให้เป็นวงกลมตามรูป (อันนี้ชิ้นแรกในชีวิตค่ะ 55)
         5. พอเกลี่ยเป็นวงกลมแล้วให้เร่งไฟแรงขึ้นเล็กน้อยรอให้เนื้อแป้งสุก **สังเกตจะเป็นสีขาวขุ่น (แต่มันแป๊บเดียวนะ) ** จากนั้นใช้ตะเกียบพลิกกลับด้าน
             6. พอแป้งสุกนำขึ้นนำไปวางที่เขียง เวลาม้วนให้ใช้ตะเกียบ 2 อัน คีบแผ่นแป้งขึ้นมา แล้วค่อย ๆ ม้วนแบบหลวม ๆ (ม้วนหลวม ๆ ล่ะ เดี๋ยวเอาตะเกียบไม่ออกนะ ชิ้นแรกอ้อก็เจอเลยเพราะครั้งแรกตื่นเต้น ม้วนแน่นไปหน่อย จึงเตือนกันเอาไว้ก่อน) ดึงตะเกียบออกจากแป้ง ทำจนครบทั้ง 3 สี จัดใส่จาน พร้อมรับประทาน





                                         ลิงก์:https://www.youtube.com/watch?v=C6ufX_3rZ9o




         การทำขนมไทยในเมนูขนมดอกจอก   เป็นขนมไทยอีกชนิดหนึ่งที่เป็นประเภทขนมกรุบกรอบที่
มีลักษณะคล้ายดอกจอกเราก็ทานยามว่างถ้าได้กินแล้วจะเพลิดเพลินไปกับขนม  อร่อย  กรอบ   มันๆ


ประวัติของขนมดอกจอก
ขนมดอกจอก เป็นขนมโบราณ เป็นที่นิยมตั้งแต่สมัยก่อน แต่ในปัจจุบันเริ่มจะหาทานยาก เด็ก ๆ สมัยนี้อาจจะไม่ค่อยรู้จักกันเท่าไรนัก เนื่องจากไม่ค่อยเป็นที่นิยมจากเด็กรุ่นใหม่ ขนมดอกจอกเป็นขนมที่มีรูปทรงคล้ายดอกจอกที่มีเเหล่งกำเนิดอยุ่ในน้ำ รูปทรงสวยงามน่ารับประทาน เเต่เนื่องจากเป็นขนมที่ต้องใช้น้ำมันพืชปริมาณมากในการทอดจึงไม่ค่อยเป็นที่นิยมกับคนสมัยนี้ที่เน้นเรื่องสุขภาพเป็นสำคัญ เพราะอาจทำให้มีคอลเรตเตอรอลสูงเเละทำให้อ้วนได้
ขนมดอกจอก ในสมัยก่อนเป็นที่นิยมมากจะเป็นหนึ่งในขนมที่จัดขึ้นในงานเเละพิธีการสำคัญต่างๆเช่นงานบวช งานเเต่งงาน งานขึ่นบ้านใหม่ เป็นต้น ไม่เเพ้ขนมไทยอย่างทองหยิบ ทองหยอด หรือฝอยทองที่เป็นที่นิยมทั่งในอดีตและปัจจุบัน



                                                       ขนมดอกจอก






ส่วนผสม
  • แป้งข้าวเจ้า 350 กรัม
  • แป้งมัน 50 กรัม
  • น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
  • น้ำปูนใส 1 ถ้วย
  • หัวกะทิ 1 ถ้วย
  • ไข่ไก่ 1 ฟอง
  • งาขาวคั่ว ตามชอบ
  • งาดำคั่ว ตามชอบ
  • น้ำมันบัว 1 ลิตร

วิธีทำ
  1. ผสมแป้งโดยใส่แป้งข้าวเจ้า แป้งมัน น้ำตาลทราย น้ำปูนใส และหัวกะทิ ผสมให้เข้ากัน แล้วใส่ไข่ลงไปตีให้เข้ากันอีกครั้ง
  2. ผสมงาขาวและงาดำลงไป คนให้ทั่ว
  3. ตั้งกระทะเทน้ำมันให้ท่วม รอให้ร้อน นำแม่พิมพ์สำหรับทำขนมดอกจอกลงไปแช่ในน้ำมันให้แม่พิมพ์มีความร้อน
  4. นำแม่พิมพ์ลงไปจุ่มกับแป้งแล้วนำไปทอด เมื่อขนมเริ่มเซ็ตตัวแล้วแกะแม่พิมพ์ออก ทอดจนสุกเหลืองทั้งสองด้าน
  5. นำขึ้นมาสะเด็ดน้ำมัน จัดเรียงใส่จานหรือกล่องพลาสติกก็ได้ค่ะ




                                      ลิงก์:https://www.youtube.com/watch?v=STzS_uvbaX4




   
           

          การทำขนมไทยในเมนูเต้าส่วน   เป็นขนมไทยในเมนูของหวานที่มีส่วนประกอบของถั่วเหลืองและที่สำคัญก็ต้องมีกะทิเพราะของหวานทุกชนิดจำเป็นต้องใส่กะทิเพื่อความหอมมันอร่อย  รสชาติของเต้าส่วนก็ หวาน   หอม  มันๆเหนียวหนืดๆ


                                                   
                                                           เต้าส่วน




ส่วนผสม
แป้งมัน 50 กรัม
ถั่วเขียวเลาะเปลือก 250 กรัม
น้ำเปล่า 900 กรัม
หัวกะทิ 200 กรัม
เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
แป้งเข้าวเจ้า 1/2 ช้อนชา
วิธีทำ
1. นำถั่วเขียวเลาะเปลือก ล้างทำความสะอาด จากนั้นจึงนำไปแช่ในน้ำร้อนประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นจึงนำไปใส่ผ้าขาวบางและนำไปนึ่งจนสุก
2. ระหว่างรอถั่วเขียวนึ่ง เตรียมทำน้ำกะทิราดหน้าโดยนำหัวกะทิไปผสมกับเกลือและนำไปตั้งบนไฟอ่อนๆ คนสักพักจึงใส่แป้งข้าวเจ้าลงไปกวนจนแป้งสุกจึงปิดไฟ และพักไว้
3. นำน้ำเปล่าไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง จากนั้นจึงใส่น้ำตาลทรายลงไปคนจนละลายดี เสร็จแล้วใส่แป้งมัน ลงไปคนต่อจนแป้งสุกใส ใส่ถั่วเขียวนึ่งที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่หนึ่งลงไป คนจนกระจายทั่ว จึงปิดไฟ
4. ตักเต้าส่วนใส่ถ้วย ราดหน้าด้วยน้ำกะทิ (ที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่สอง) พร้อมเสริฟได้ทันทีทั้งร้อนและเย็น




                                               
   

           การทำขนมไทยในเมนูขนมรังผึ้ง   เป็นขนมไทยที่ทำมาจากแป้งแล้วก็จะมีส่วนผสมเป็นกะทิ
เป็นขนมที่ทำเองได้และสามารถทำไว้ขายหารายได้   รสชาติก็จะอร่อย  หอม  นุ่มน่ารับประทานไม่แพ้ขนมอื่นๆ


ประวัติของขนมรังผึ้
เป็นขนมไทชนิดหนึ่งมีเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทยคือ มีความละเอียดอ่อนประณีตในการเลือกสรรวัตถุดิบ วิธีการทำ ที่พิถีพิถัน รสชาติอร่อยหอมหวาน สีสันสวยงาม รูปลักษณ์ชวนรับประทาน ตลอดจนกรรมวิธีการรับประทานที่ปราณีตบรรจงของขนมแต่ละชนิด ซึ่งยังแตกต่างกันไปตามลักษณะของขนมชนิดนั้นๆประโยชน์และโทษของขนม

         "ใยอาหาร" หรือ "Fiber" เป็นอาหารอีกหมู่หนึ่งที่ร่างกายมีความต้องการไม่น้อยไป 
กว่าอาหารหลักหมู่อื่น ใยอาหารนี้แท้ที่จริงแล้วคือ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ไม่ใช่แป้ง ซึ่งเป็นส่วนประกอบของ พืช ผัก และผลไม้ที่รับประทานได้ แต่ไม่ถูกย่อยโดยน้ำย่อยในระบบย่อยอาหาร เมื่อผ่านลำไส้ใหญ่บางส่วนจะถูกย่อยโดยจุลินทรีย์ ทำให้กลายเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ไฮโดรเจน น้ำ และกรดไขมันสายสั้นๆ ซึ่งจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ด้วยเหตุนี้ ใยอาหารจึงมีผลช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติช่วยดูดซับสารก่อมะเร็งที่อาจปะปนมากับอาหาร ซึ่งร่างกายสามารถขับถ่ายมาพร้อมกับอุจจาระ ช่วยลดการดูดซึมไขมันและคอเรสเตอรอลในเส้นเลือดได้และเพื่อสุขภาพที่ดีเราควรบริโภคอาหารที่มีเส้นใยอาหารในปริมาณ 25-30 กรัมต่อวัน ซึ่งในขนมไทยต่างมีใยอาหารประกอบอยู่ด้วยทั้งสิ้น


                                                           ขนมรังผึ้ง




ส่วนผสมและวิธีทำขนมรังผึ้ง
- ไข่ไก่ 6 ฟอง
- แป้งสาลี 2 ½ ถ้วยตวง
- นมสด 2 ถ้วย
- น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
- ผงฟู 3 ช้อนชา
- เกลือป่น ½ ช้อนชา
- เนยสด 1 ช้อนชา

วิธีทำขนมรังผึ้ง
1. นำแป้งสาลี ผงฟู และเกลือป่นผสมเข้าด้วยกันแล้วนำไปร่อน 3 ครั้งเพื่อให้แป้งเบาตัว
2. ตอกไข่ใส่ภาชนะ พร้อมน้ำตาลทราบและเนยสด ตีส่วนผสมเข้ากันจนเป็นเนื้อครีม จากนั้นใส่นมสดลงไปคนให้เข้ากัน
3. ค่อยๆใส่แป้งที่ร่อนไว้ลงไปคนเบาๆจนแป้งหมด
4. ทาเนยหรือน้ำมันที่พิมพ์ แล้ววอร์มพิมพ์โดยนำไปตั้งไฟ
5. เมื่อพิมพ์เริ่มร้อนดีแล้วตักส่วนผสมที่ทำไว้ใส่ลงในพิมพ์แล้วปิดฝา ประมาณ 3 นาทีขนมก็จะสุกและเริ่มได้กลิ่นหอมของขนมรังผึ้ง







วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2561


       การทำขนมไทยในเมนูขนมเม็ดขนุน  เป็นขนมไทยชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายเม็ดขนุนมีสีเหลือง   รสชาติหอม   หวาน  มัน  อร่อย   ขนมเม็ดขนุนนี้ต่างจากเมนูอื่นคือมีถั่วเป็นส่วนผสม ที่กัดแล้วเป็นก้อนแข็งๆ นั้น มันคือถั่วเขียวกวน 

ประวัติของเม็ดขนุน

เม็ดขนุน หนึ่งในขนมมงคล ขนมตระกูลทองที่มีความหมายอันเป็นมงคล
หมายถึง หนุนเนื่อง ,สนับสนุน ในเชิงให้ดียิ่งขึ้นหรือให้ก้าวหน้า
        ขนมเม็ดขนุนเป็นหนึ่งในขนมตระกูลทองเช่นกัน มีสีเหลืองทอง รูปร่างลักษณะคล้ายกับ เม็ดขนุน ข้างในมีไส้ทำด้วย ถั่วเขียวบด มีความเชื่อกันว่า ชื่อของ ขนมเม็ดขนุนจะเป็นสิริมงคล ช่วยให้มีคน สนับสนุน หนุนเนื่อง ในการดำเนินชีวิตและในหน้าที่การงานหรือ กิจการต่าง ๆ ที่ได้กระทำอยู่
ขนมเม็ดขนุนเป็นขนมไทยหัตถกรรมความอร่อยที่แสดงออกถึงความอ่อนช้อยของความ เป็นไทย ตั้งแต่ครั้งอดีตกาลที่ก่อกำเนิดภูมิปัญญาไทยหลากหลายอย่างให้สืบสานต่อทั้ง วิถีชีวิตประเพณี วัฒนธรรม ที่สามารถนำวัสดุมีอยู่ในท้องถิ่นมาปรุงแต่งเป็นของหวานได้มากหลายรูปแบบ จัดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่าคนไทยมีลักษณะนิสัยอย่างไร เพราะขนมแต่ละชนิดล้วน มีเสน่ห์ แสดงให้เห็นถึงความละเอียดอ่อน ประณีต วิจิตรบรรจงในรูปลักษณ์ ตั้งแต่วัตถุดิบที่ใช้ วิธีการทำที่กลมกลืน ความพิถีพิถัน สีที่ให้ความสวยงาม มีกลิ่นหอม รสชาติของขนมที่ละเมียดละไมชวนให้รับประทาน แสดงให้เห็นว่าคนไทยเป็นคนใจเย็น รักสงบ มีฝีมือเชิงศิลปะ
วิถีชีวิตของคนไทยนั้นเป็นสังคมเกษตรที่มีผลิตผลทางธรรมชาติอยู่มากมาย เช่น กล้วย อ้อย มะม่วง รวมไปถึงข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ฯลฯ ที่สามารถปรุงเป็น ขนม ได้มากมายหลายชนิด เช่น อยากได้ กะทิ ก็เก็บมะพร้าวมาขูดคั้นน้ำกะทิ อยากได้ แป้งก็นำข้าวมาโม่เป็นแป้งทำขนมอร่อยๆ เช่น บัวลอย กินกันเองในครอบครัว
           ขนมไทยถูกนำไปใช้ในงานบุญตามประเพณีและงานพิธีกรรม ที่เกี่ยวข้องในวิถีชีวิตชาวไทย โดยนิยมทำขนมชื่อมีมงคล ได้แก่ ขนมตระกูลทองทั้งหลาย เพราะคนไทยถือว่า “ทอง” เป็น ของดีมีมงคลทำแล้วได้มีบุญกุศล มีเงินมีทอง มีลาภยศ สรรเสริญ สมชื่อขนมนั่นเอง



                                     
                        ขนมเม็ดขนุน




          ส่วนผสม
  • ถั่วเขียวเลาะเปลือก (นึ่ง) 400 กรัม
  • น้ำตาลทราย 1 1/2 ถ้วย
  • กะทิ 500 มิลลิลิตร
  • น้ำ 4 ถ้วย
  • น้ำตาลทราย 4 ถ้วย (สำหรับต้มขนม)
  • ไข่แดงของไข่เป็ด 8 ฟอง
  • น้ำเชื่อม
วิธีทำ
  1. นำถั่วเขียวเลาะเปลือกที่ืนึ่งแล้วมาปั่นกับน้ำตาลทรายและกะทิ (กะทิครึ่งเดียวก่อน) ปั่นจนละเอียด
  2. นำถั่วที่ได้มากวนในกระทะทองเหลือง หรือกระทะเทฟลอนก็ได้ เติมกะทิส่วนที่เหลือลงไป กวนจนข้นเหนียว ใช้เวลา 15-20 นาที เสร็จแล้วก็ปิดไฟ พักถั่วไว้ให้เย็น
  3. นำถั่วที่เย็นสนิทแล้ว มาปั้นให้เป็นรูปวงรี ยาวๆ เป็นรูปทรงเม็ดขนุน ปั้นไปแบบนี้จนหมด
  4. ต้มน้ำตาลทรายกับน้ำเปล่าในกระทะทองเหลือง เปิดไฟอ่อน กวนจนน้ำตาลละลาย จากนั้นก็ปิดไฟทันที
  5. แยกไข่แดงของไข่เป็ดออกมา จากนั้นก็ตีให้เข้ากัน นำถั่วที่ปั้นไว้มาชุบกับไข่แดง เสร็จแล้วก็หยอดลงไปในน้ำเชื่อม หยอดไปเรื่อยๆ ระวังอย่าให้ขนมติดกันจนเกินไป
  6. จากนั้นก็เปิดไฟอ่อนๆ ต้มจนเม็ดขนุนสุกทั้งสองด้าน จากนั้นก็ตักเม็ดขนุนมาแช่ในน้ำเชื่อมข้างนอกอีกครั้งนึง ทำแบบนี้วนไปจนหมด
  7. จัดเรียงขนมใส่จานเสิร์ฟ หรือใส่ภาชนะสวยๆ เอาไว้จัดงานมงคลก็ได้ค่ะ




                                             ลิงก์:https://www.youtube.com/watch?v=mPeQo0OtzVU

วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2561



              การทำขนมไทยในเมนูข้าวเหนียวถั่วดำ    เป็นขนมไทยเมนูข้าวเหนียวมูน ข้าวเหนียวมูนทานคู่กับถั่วดำต้ม และน้ำกะทิ หวานๆ เป็นขนมหวานแบบง่ายๆ   สามารถทำไว้กินเองก็ได้

                                  

                                              ข้าวเหนียวถั่วดำ
                                                             ที่มา:https://cookpad.com/th/recipes




ส่วนผสมข้าวเหนียว
1. ข้าวเหนียวขาว 1/2 กิโลกรัม
2. กะทิข้นๆ 2 ถ้วยตวง
3.น้ำตาลทราย 3 ถ้วยตวง
4. เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. นำข้าวเหนียวไปแช่น้ำไว้ 6 ชั่วโมงแล้วนึ่งให้สุกดี
2. นำกะทิ น้ำตาลทราย เกลือป่น พร้อมกันแล้วนำไปมูนกับข้าวเหนียว แล้วคนให้ข้าวเหนียวกระจาย (ด้วยเวลาอันรวดเร็ว) ให้ส่วนผสมเข้ากัน ปิดฝาภาชนะที่มูนไว้
ส่วนผสมถั่วดำ
1. ถั่วดำ 1/2 กิโลกรัม
2. น้ำกะทิ 4 ถ้วยตวง
3. น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง
วิธีทำ
1. ล้างถั่วให้สะอาด แช่น้ำไว้ประมาณ 6 ชั่วโมง
2. นำถั่วดำต้มเทน้ำทิ้ง 1 ครั้ง ต้มต่ออีกครั้งจนสุกดี
3. ต้มถั่วกับน้ำกะทิ พอกะทิแตกมันดี เติมน้ำตาลทราย ต้มต่อไปจนน้ำตาลละลายและเข้ากันดี ยกลง ตักเสิร์ฟคู่กับข้าวเหนียวมูน
สูตรนี้รับประทานได้ 6-8 คน
เคล็ดลับ
การทำข้าวเหนียวถั่วดำนั้น การต้มถั่วดำเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะถ้าถั่วต้มไม่สุกดี ขนมก็จะเสียรสชาติไปเลย จึงจำเป็นต้องต้มให้สุกเสียก่อนที่จะต้มลงไปพร้อมกับน้ำกะทิ เพราะถ้าใส่ถั่วดิบลงไปต้มพร้อมกับน้ำกะทิ ถั่วจะไม่สุก นี่เป็นเคล็ดลับหนึ่งในการทำขนมที่มีถั่วเป็นส่วนประกอบ





                                              ลิงก์:https://www.youtube.com/watch?v=Kdnyu5bx_zI



             การทำขนมไทยในเมนูขนมกระหรี่ปั๊บไส้ไก่     ก็นับเป็นขนมไทยอีกอย่างหนึ่งที่เราชอบกินยามว่างขนมกระหรี่ปั๊บมีหลายไส้  เช่นไส้ไก่   ไส้งาดำขั่ว เป็นต้น   รสชาติก็อร่อย  กรอบนอกนุ่มใน



ประวัติของขนมกระหรี่ปั๊บ
เป็นอาหารสไตล์ตะวันตกผสมกับอินเดีย เริ่มเป็นที่นิยมโดยชาวมุสลิมในประเทศไทย คาดว่าเป็นอาหารที่ถูกคิดค้นโดยโดยท้าวทองกีบม้า โดยตอนแรกชื่อว่า curry puff (พัฟฟ์ผงกะหรี่) ต่อมาได้เพี้ยนมาเป็น กะหรี่พัฟฟ์ และเพี้ยนเป็นกะหรี่ปั๊บในที่สุด  



                                                

                                            ขนมกระหรี่ปั๊บไส้ไก่ 
  
                                                    ที่มา:https://pantip.com/topic/31726952





ส่วนผสมกะหรี่ปั๊บไส้ไก่
  • น้ำมันรำข้าว 2 ช้อนโต๊ะ
  • หอมใหญ่ 100 กรัม
  • เนื้ออกไก่ 200 กรัม
  • มันเทศ 300 กรัม
  • พริกไทยป่น 1 ช้อนชา
  • เกลือป่น 1 ช้อนชา
  • ซอสปรุงรส 3 ช้อนโต๊ะ
  • ผงกะหรี่ 1 1/2 ช้อนชา
  • น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วย
  • น้ำเย็น 6 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำปูนใส 6 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ 1 ช้อนชา
  • แป้งสาลีอเนกประสงค์ 270 กรัม (สำหรับชั้นแป้งนอก)
  • น้ำมันรำข้าว 6 ช้อนโต๊ะ (สำหรับทำแป้งชั้นนอก)
  • แป้งสาลีอเนกประสงค์ 140 กรัม (สำหรับแป้งชั้นใน)
  • น้ำมันรำข้าว 6 ช้อนโต๊ะ (สำหรับแป้งชั้นใน)
วิธีทำกะหรี่ปั๊บไส้ไก่
  1. ผัดไส้เตรียมไว้ก่อน โดยใส่น้ำมันรำข้าวและหอมหัวใหญ่ลงไปผัด จากนั้นก็ใส่เนื้ออกไก่ และ มันเทศหั่นเต๋า
  2. ปรุงรสด้วยพริกไทยป่น เกลือป่น ซอสปรุงรส ผงกะหรี่ และ น้ำตาลทราย ผัดให้เข้ากันจนทุกอย่างสุก และ เหนียวสามารถนำมาปั้นได้ เสร็จแล้วตักใส่จานแล้ววางพักไว้
  3. ผสมน้ำเย็นกับน้ำปูนใส ปรุงรสด้วยน้ำตาล และ เกลือ
  4. มาผสมแป้งส่วนของแป้งชั้นนอกกันก่อน โดยเทแป้งลงไปในชามผสม เกลี่ยแป้งให้เป็นหลุมตรงกลาง เทน้ำปูนใสที่ผสมไว้ลงไป ตามด้วยน้ำมันรำข้าว คนให้เข้ากันและนวดแป้งจนเนื้อเนียน แรปแล้วพักไว้
  5. ผสมแป้งชั้นในกับน้ำมันรำข้าว คนให้เข้ากันแล้วนวดจนเนียน และแรปพักไว้
  6. นำแป้งชั้นนอกออกมาตัดแบ่งเป็นชิ้นในสัดส่วนที่เท่ากัน และแป้งชั้นในก็นำออกมาตัดแบ่ง วางแยกกันไว้ (แนะนำให้ดูตามคลิป)
  7. คลึงแป้งชั้นนอกและชั้นในเสร็จแล้ว นำไส้ที่ผัดไว้มาปั้นเป็นก้อนกลมๆ แล้วนำมาห่อกับแป้ง จับจีบให้เป็นรูปทรงของกะหรี่ปั๊บ
  8. จากนั้นก็นำไปทอดให้เหลืองกรอบ เสร็จแล้วก็สะเด็ดน้ำไมันขึ้นมาวางพักไว้ เตรียมใส่จานเสิร์ฟ หรือ ใส่กล่องสวยๆ สำหรับมอบให้กับคนอื่น





                                     ลิงก์:https://www.youtube.com/watch?v=G0FUh-W4uBw